เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2557 เวลา 10.30-14.00 น. นายวิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูตประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน และพบหารือกับคณะผู้ประกอบการธุรกิจไทยที่สนใจมาลงทุนในจีน จำนวน 35 คน โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยคณะดังกล่าวเยือนจีน ระหว่างวันที่ 12-17 พ.ค. 57 (กรุงปักกิ่ง เมืองเทียนจิน และเมืองชิงต่าว) ภายใต้โครงการของ BOI เพื่อสร้างเครือข่ายและส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจไทยในจีน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เชิญผู้แทนจาก สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ สำนักงานการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และสำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเกษตรในต่างประเทศ กรุงปักกิ่ง เข้าร่วมการหารือด้วย
เอกอัคราชทูตได้กล่าวบรรยายภาพรวมความสัมพันธ์ไทย–จีน และสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันว่า หลังเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลจากรุ่นที่ 4 ไปสู่รุ่นที่ 5 (นำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ) เมื่อเดือน มีนาคม 2556 เป้าหมายสำคัญของนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล คือทำให้เกิดสังคมที่ประชาชนจีนมีความกินดีอยู่ดีอย่างทั่วหน้า หรือสังคมเสี่ยวคังอย่างรอบด้าน โดยมีเป้าหมายสองประการ คือ ในปี ค.ศ. 2020 (ครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน) จีนจะกลายเป็นประเทศที่ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างปานกลาง และในปี ค.ศ. 2049 (ครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน) จีนจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีชนชั้นกลางเกินครึ่งของประขากรทั้งนี้ ปัญหาหลักหาที่ท้าทาย คือ การทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ปราบคอรัปชั่น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และแก้ไขปัญหามลภาวะสิ่งแสดลอมด้วย ถือเป็นความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
สำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน จีนทราบดีว่า ปัจจุบันได้มาถึงน่านน้ำที่จีนไม่เคยผ่านมาก่อน จากเศรษฐกิจที่เน้นการผลิต ไปสู่เศรษฐกิจที่เน้นการบริการและการโบริโภคในประเทศ ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันได้ประกาศเขตการค้าเสรีที่เซี่ยงไฮ้ ที่เปิดเสรีในการลงทุนของธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น เป็นการทดลอง “นวัตกรรม” การบริหารจัดการระบบใหม่ มีการเปิดเสรีหลายด้าน หากประสบความสำเร็จ ก็จะขยายพื้นที่ไปยังเมืองและมณฑลต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ยังได้นำสโลแกน “Chinese Dream” มาเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนประชาชนและสังคมจีนในปัจจุบันให้มุ่งไปข้างหน้าและสร้างแรงผลักดันให้มีการพัฒนาและปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจีน
อย่างไรก็ตาม จีนก็ยังเผชิญกับปัญหาหลากหลาย อาทิ มลภาวะเป็นพิษ และความปลอดภัยทางด้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ จะเกี่ยวเนื่องกับการลงทุน เช่น ทางคนจีนไม่มั่นใจในคุณภาพ/ความปลอดภัยของสินค้าอาหารของตนเอง ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพของสินค้าอาหารก็จะมีลู่ทางอย่างยิ่ง นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ แนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นอันเนื่องมาจากรัฐบาลจีนที่พยายามบรรเทาปัญหามลภาวะ/ทรัพยกรธรรมชาติ ปัญหาและสิ่งท้าทายอื่นๆ ได้แก่ ปัญหาด้านแรงงานต่างด้าว ช่องว่างทางรายได้ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาการรักษาพยาบาล และปัญหาคอรัปชั่น เป็นต้น
เอกอัครราชทูตฯ ยังกล่าวถึงปรากฏการณ์ของสังคมจีนใหม่ที่สำคัญ ได้แก่ สังคมของผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต หรือ netizens ที่ปัจจุบันมี 600 กว่าล้านคน ซึ่งกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล เพราะสังคมอินเตอร์เน็ตดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกำหนดอนาคตของประเทศทั้งในด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ โดยสำหรับด้านเศรษฐกิจนั้น นับได้ว่า การซื้อขายสินค้าและทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตหรือออนไลน์ (e-commerce) กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้บริโภคจีนในปัจจุบัน และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความสำคัญของ e-commerce ของจีนในปัจจุบัน เป็นประเด็นเศรษฐกิจและความร่วมมือทางธุรกิจทุกด้านที่ไทยควรมุ่งเน้นและให้ความสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ในระหว่างรับประทานอาหารกลางวันได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลและข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ด้วย